fic (Quan Zhi Gao Shou) Look at me (ซุนเสียง x เยี่ยซิว) (part 1/2)
fic 全职高手The King's Avatar (Quan Zhi Gao Shou)
Title: Look at me
Pairing: ซุนเสียง x เยี่ยซิว
part 1
ซุนเสียงราชาหน้าใหม่แห่งสมาพันธ์กลอรี่ ย้ายมาสโมสรเจียซื่อ
แม้ยังไม่ได้ระบุตำแหน่ง
แม้ยังไม่ได้ระบุตำแหน่ง
แต่นี่ไม่ใช่ลางที่ดี
สำหรับผู้ที่ครองตำแหน่งกัปตันทีมอย่างเยี่ยซิวตอนนี้แน่ๆ
ลำดับของเจียซื่ออยู่ที่ 19
ที่รองอันดับท้าย ไม่ใช่ไม่ทราบ
เยี่ยซิวคิดว่าอีกไม่นาน อาจเป็นเขาที่ก้าวออกไป…
แทนคนใหม่ที่เดินเข้ามา
เจ้าของรูปร่างสูงโปร่งแนะนำตัวสั้นๆและฝากเนื้อฝากตัวกับสมาชิกในทีม
เขาเป็นเจ้าของผมสีน้ำตาลทองที่ทำให้นึกถึงฟางข้าวต้องแสงของวันใหม่ ผิวขาว ดวงตาคม
และจมูกที่เชิดขึ้น น้ำเสียงน่าฟังยังคงเปล่งออกไม่ขาด ใบหน้านั้นหันมาแนะนำตัวกับเยี่ยซิว
ผู้ตอบรับด้วยคำสั้นๆและเอ่ยกลับ
เขาเป็นเจ้าของผมสีน้ำตาลทองที่ทำให้นึกถึงฟางข้าวต้องแสงของวันใหม่ ผิวขาว ดวงตาคม
และจมูกที่เชิดขึ้น น้ำเสียงน่าฟังยังคงเปล่งออกไม่ขาด ใบหน้านั้นหันมาแนะนำตัวกับเยี่ยซิว
ผู้ตอบรับด้วยคำสั้นๆและเอ่ยกลับ
ซุนเสียงคลี่ยิ้มกว้างขึ้น พูดชื่นชมตำแหน่งเทพสงคราม
พูดถึงอี๋เยี่ยจือชิวด้วยความเทิดทูน
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยซิวต้องชะงักกลับเป็นดวงตา
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยซิวต้องชะงักกลับเป็นดวงตา
คนๆนี้ ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับไปไม่ถึงดวงตา
ดวงตาของเขาปิดแววตาไม่มิด หรืออาจไม่เคยคิดบิดบังตั้งแต่แรก
ดวงตาของเขาปิดแววตาไม่มิด หรืออาจไม่เคยคิดบิดบังตั้งแต่แรก
เยี่ยซิวขอปลีกตัวออกไป ทำให้ซุนเสียงไปคุยกับสมาชิกทีมคนอื่นอย่างออกรส
เสียงประตูปิดลง
เยี่ยซิวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำ เก้าอี้ตัวเดิมที่รองรับตัวเขามานาน
ตำแหน่งที่เดิม
หน้าต่างบานเดิมที่แสดงให้เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ร่างสูงผอมบางนั่งอยู่ที่เดิม
แต่คราวนี้เขารู้สึกไม่เหมือนเดิม เหงื่อไหลซ่านครอบคลุมทั้งแผ่นหลังทั้งๆที่เป็นฤดูหนาว
เสียงตึกตักในห้องเต้นถี่เหมือนกลองรัว
ความเย็นจากอากาศแทรกเข้าไปทุกอณูผิวหนัง
เยี่ยซิวไม่รู้ว่าเบื้องหลังแววตานั่นคืออะไร
แต่ไม่นับได้ว่าเป็นเรื่องดีในชีวิตเขาแน่ๆ
นอกจากที่นั่งเดิมจะหายไป จะมีสิ่งใดที่แย่ไปได้กว่านี้อีก..?
ริมฝีปากบางขบกันเล็กน้อยอย่างเคยชิน
หากมียาสูบสักตัวในเวลาคงดีกว่านี้
บุหรี่คลายความกังวลได้ดีเยี่ยม หากแต่ซอง สุดท้ายได้กลายเป็นซองเปล่าอย่างน่าพิศวง
วันนี้คงเป็นวันที่เยี่ยซิวโชคไม่ดีนัก...
************************************************************
วันนี้เป็นวันที่เริ่มไม่ปกติ เริ่มมีสิ่งแปลกปลอมที่เรียกว่าซุนเสียงเข้ามาในสโมสรเจียซื่อ
ความเหินห่างในสมาชิกทีมเริ่มได้รับความเติมเต็ม
ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดที่เยี่ยซิว ผู้ซึ่งเหลือบตาจากหน้าจอไปมองอีกฝ่ายแล้วทักตอบ
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นไม่ได้มีประกายเย็นเยียบเหมือนเมื่อวาน
ดวงตาคมจ้องมองที่อี๋เยี่ยจือชิว
ช่างเปล่งประกายสดใส
ราวกับแสงแดดจ้าที่จ้องแล้วแสบตา
ใบหน้านั้นคลี่ยิ้มกระจ่างเหมือนเด็กๆ
“อี๋เยี่ยจือชิว...” แม้กระทั้งเสียงเรียกชื่อนั้นยังสั่นไหว
ตำนานที่มีชีวิต ความฝันแม้แต่ก่อนที่ตัวซุนเสียงจะเข้าลีค
“ผมขอนั่งดูเงียบๆ จะไม่กวนคุณ ขอผมนั่งดูนะครับ”
ตรงกันข้ามกับที่เยี่ยซิวสัมผัสได้คราวก่อน
คนๆนี้ชอบในตัวอี๋เยี่ยจือชิวมากจริงๆ
หลังจากนั้นริมฝีปากคนๆนี้ก็เริ่มชวนเขาคุยสมัยที่เป็นแชมป์สมัยยุกรุ่งโรจน์ ดูไม่ได้มีพิษมีภัยใดๆ..
***********************************************
...บุหรี่หมด..
ราวกับเป็นนิสัยประจำตัว เยี่ยซิวหยิบเสื้อโค๊ทสีน้ำตาลอ่อนผ้าหนาที่มีขนเฟอร์นุ่มนิ่มประดับอยู่
ขนเฟอร์ย่อมไม่ใช่รสนิยมของเยี่ยซิว
ถ้าจะถามคนที่คะยั้นคะยอหนักหนาว่าเสื้อตัวนี้เหมาะกับใคร
จะเป็นใคร ถ้าไม่ใช้ซูมูเฉิง นึกถึงสีหน้าคนเลือก ริมฝีปากของเยี่ยซิวอดจะเหยียดยิ้มเล็กๆออกมาไม่ได้ เขาชะงักเมื่อออกมาถึงหน้าตึก
เกล็ดสีขาวโปรยปรายจากฟากฟ้ายามค่ำคืน ยามต้องกับแสงไฟจากตึกระฟ้า
ทำให้มันสะท้อนแสงสีเงินวาว
ตัดกับท้องฟ้าที่เป็นสีดำราวกับผ้ากำมะหยี่ผืนใหญ่
แม้จะเดินออกมาเพียงชั่วครู่ความหนาวเย็นกลับทำให้ปลายนิ้วของเขาชา
เยี่ยซิวอดคิดไม่ได้ในทุกๆปีว่าขอบคุณที่มีที่ๆหาซื้อบุหรี่ได้ใกล้กับที่พักเขาเหลือเกิน
ไม่อย่างนั้นอย่างแรกที่จะน้ำแข็งจับอาจจะเป็นมือเขาก็เป็นได้
เยี่ยซิวรีบสาวเท้าหนีความหนาวเย็นเข้าไปในอาคารที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ซุกหัวนอนของเขามานานหลายปี
สัมผัสบนพื้นยังเป็นสัมผัสเดิมๆ
แม้แต่กลิ่นที่แตะจมูกก็เป็นกลิ่นเดิม
ไฟสว่างยามค่ำคืนที่เห็นชินตา
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงห้องพักส่วนตัวของกัปตันทีมเจียซื่อ
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” เมื่อได้รับฟังสายตาก็เห็นผู้เอ่ยปาก
เด็กหนุ่มอ่อนวัยร่างสูงโปร่ง
เส้นผมสีน้ำตาลเป็นประกาย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกแสงเงาทำให้หม่นลงเล็กน้อย
ซุนเสียงยืนอยู่ในท่าสบายๆ คิ้วหนาไม่ได้ขมวดเป็นปม ไม่มีวี่แววมาดร้าย
ไม่มีสายตาข่มขู่ใดๆ
แต่ใบหน้าเขากลับจริงจัง
“เรื่องสำคัญ...”
อีกฝ่ายย่างเท้าเข้ามาใกล้กับเยี่ยซิว
“เป็นส่วนตัว”
////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ซุนเสียงเห็นอีกฝ่ายชะงักเมื่อได้ยินคำว่า
“เป็นส่วนตัว”
ที่เขาจงใจย้ำลงไป
เพราะถ้าไม่พูดเยี่ยซิวย่อมต้องให้เขาพูดที่นี่
หรือไม่ก็ไปห้องนั่งเล่นรวมที่มีคนอื่นอยู่ด้วยแน่นอน ร่างผอมบางตรงนั้นมองเขาอย่างชั่งใจ
แล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ไขประตูแล้วเชิญให้เขาเข้าไป ซุนเสียงตามร่างนั้นเข้าไป
ห้องอีกฝ่ายตกแต่งอย่างเรียบง่าย
บางทีซุนเสียงก็ไม่มั่นใจ
ระหว่างคำว่าเรียบง่ายกับไม่แต่งอะไรเลย..
ทุกอย่างเป็นระเบียบ หรือ บางทีอาจจะไม่มีอะไรทำให้รกรุงรังก็เป็นได้
ร่างตรงหน้าเขานั่งลง
แล้วพยักหน้าให้เขานั่งตรงข้าม ซุนเสียงทรุดตัวลง
สายตากำลังพิจารณาคนตรงหน้า
บุคคลที่แทบได้ชื่อว่าเป็นตำนาน
เทพสงครามอี๋เยี่ยจือชิว
เบื้องหลังตำนานคือชายที่นั่งตรงหน้าของเขา ดูธรรมดาเหลือเกินเมื่อเทียบกับชื่อเสียงของเขา
บุคคลลึกลับที่ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา
คนตรงหน้าเหมือนซุกอยู่ในก้อนผ้าขนาดใหญ่เท่าสุนัขพันธ์เซนท์เบอร์นาร์ด
เยี่ยซิวเป็นชายหนุ่มตัวเล็กที่ห่อตัวเองไว้กับเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลอ่อนที่มีขนเฟอร์ตกแต่งบนฮู๊ด
เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่ปกป้องเขาจากความหนาวเย็นอันโหดร้ายของสภาพอากาศยามหิมะตก
ริมฝีปากสีซีดห่อกันสีระเรื่อ เมื่อเห็นเสื้อโค๊ทนั่นเปียกเป็นด่างดวงจากหิมะ
ร่างนั้นจึงจำใจถอดมันไปแขวนที่ร้าวไม้อย่างเสียไม่ได้
นั่นทำให้ซุนเสียงเห็นรูปร่างคนตรงหน้าได้ชัดขึ้น
เยี่ยซิวไม่ใช่ชายหนุ่มตัวเล็กเพียงแค่ผอมบางเกินคนปกติ
ทุกคนที่ได้เจอรวมทั้งเขาก็อดจะคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้าได้กินข้าวแบบคนปกติบ้างหรือเปล่า
ผิวขาวซีด ซีดเกินไปจนดูไม่เปล่งปลั่ง
ดวงตาคู่นั้นอาจจะงดงามขึ้นถ้าหากไม่มีรอยคล้ำ
ทำให้ดูทรุดโทรมและบริเวณตาขาวเป็นสีแดงเรื่อแบบคนที่นอนไม่เป็นเวลา
ผมสีดำสนิทดูไม่ค่อยเป็นทรงนักแต่ก็ดูลื่นดุจเส้นไหม ไม่ได้มีราศีใดๆทั้งสิ้น
ดูธรรมดาเหลือเกิน ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอื้อนเอ่ย
“เรื่องอะไร...เรื่องสำคัญขนาดไหนถึงต้องมาคุยกันค่ำมืดแบบนี้?”
เสียงที่เอ่ยขึ้นมาเป็นเสียงทุ้มลื่นหู
เนิบเป็นจังหวะ
ซุนเสียงไม่รู้ หรืออาจะไม่คิดจะรับรู้ว่าสายตาเขาทุกครั้งที่จ้องบริเวณอื่น
สุดท้ายก็กลับมาที่คนๆนี้
ราวกับสุดท้ายความสนใจของเขาไม่เคยอยู่ที่อื่นเลย
อยู่ที่คนๆนี้มาตลอด
แล้วดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่แวววาวราวกับลูกแก้วคู่นี้ล่ะ
กำลังมองที่ใดอยู่
ซุนเสียงค้นพบเสียงตัวเองอีกครั้งเมื่อดวงตาอีกฝ่ายจ้องเขาตรงๆ
“คุณพูดเหมือนไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? จำเป็นต้องให้ผมลองไล่ลำดับเหตุการณ์ดูดีมั้ย?”
ซุนเสียงแค่นยิ้ม ดวงตาประกายกร้าว
“ คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ...ว่าต่อไป
สถานะในทีมคุณจะเป็นยังไงต่อไป...”
“............” อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ราวกับเวลาหยุดชั่วครู่
คนอายุมากกว่าถอนหายใจเบาๆ
แม้กระนั้นอากาศก็ทำให้เห็นควันจางๆสีขาวบางออกมา
ท่ามกลางแสงในห้อง
“ถ้าพูดจบแล้วก็ออกไป”
ไม่มีร่องรอยฉุนเฉียว ไม่มีความคุกกรุ่น ไม่มีความเศร้า ไม่มีสิ่งใดแฝงออกมาในน้ำเสียง
ไม่มีสิ่งใด..
หรือความจริงแล้วเขา …
ไม่เคยอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก
ทำไมล่ะ ราชาอย่างคุณกำลังตกจากบัลลังก์ ..
ไม่มีความรู้สึกโกรธอะไรเลยหรือยังไง?
งั้นผม..จะเพิ่มเชื้อไฟ..
“อีกเรื่องรู้มั้ย....?”
ซุนเสียงรู้ว่าตัวเองกำลังเผยรอยยิ้มน่ารังเกียจ
“อี๋เยี่ยจือชิวของคุณ... ก็จะเป็นของผมเหมือนกัน!”
ใบหน้าที่เคยซีดอยู่แล้ว ซีดลงไปอีก
ดวงตาคู่นั้นกำลังสั่นไหว
ริมฝีปากสีลูกพลัมถูกขบเม้มจนเป็นสีระเรื่อ แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
ไม่ว่าจะเป็นคำผรุสวาท ไม่มีคำใดๆออกมาเลย
“ว่ายังไงล่ะครับ
ราชาตกบัลลังก์อย่างคุณจะเป็นยังไงนะ?”ซุนเสียงเว้นวรรค
ค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ขณะอีกฝ่ายยังนิ่งอยู่ที่เดิม
“ผมไม่ใจร้ายนะครับ... มาเป็นคู่ซ้อมทีมเป็นยังไงดีครับ?”
ซุนเสียงรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวร้ายกาจ
คำพูดของเขาเชือดเฉือนดวงใจอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถึงฝีมือคุณจะดี แต่คุณก็รู้ใช่มั้ยครับ
ว่าคุณน่ะ...ตกยุคไปแล้ว”
เขาแค่อยากเห็น......คนๆนี้ควรจะสำนึกสิ....
สำนึกที่ทำให้เทพสงครามอี๋เยี่ยจือชิวตกต่ำลง
ทำให้ตัวเองโดนเขี่ยทิ้งเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง
ซุนเสียงหวังว่าจะทำให้คนๆนี้เสียหน้า
สำนึกในสิ่งที่ตนทำไป
“...ออกไป”
ใบหน้าที่ก้มลงทำให้ซุนเสียงไม่อาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยามเขาก้มหน้าลง
คนๆนี้กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ
“ไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน..กันนะ ?
ที่ผม จะมาแทนคุณอย่างเป็นทางการสักที!
จะเป็นพรุ่งนี้รึเปล่านะ? หรือเป็นมะรืนนี้”
ซุนเสียงยังคงว่าต่อเสียงระรื่น “เยี่ยซิว...”
ยามที่เขาถือวิสาสะเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไร้มารยาท
ราวกับได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
“คุณว่าจะเป็นวันไหน ?...วันไหนจะเป็นวันดีกันนะ?”
เคียดแค้นผมสิ..
ดวงตาสีดำที่เผยยามที่ชายหนุ่มร่างผอมบางเงยใบหน้าขึ้นมากลับไม่มีปรากฏแววใดๆ
ยามที่ริมฝีปากนั้นยังคง พูดย้ำคำเดิม “ออกไป...”
ราวกลับไม่ได้ใส่ใจ
ไม่ได้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย..
ซุนเสียงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยคำพูดใดต่อ
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งหันตัวกลับ
แล้วสาวเท้าไปที่ประตู
ขณะที่เยี่ยซิวกำลังหลับตาพยายามควบคุมอารมณ์
“อะไรที่จะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะฉัน หรือ เธอ
ไม่มีอะไรที่จะห้ามได้หรอกนะ...ถ้าไม่ใช่เธอก็จะมีคนอื่นมาอยู่ดี”
แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบแต่ภายในห้องพักกลับเงียบเหลือเกิน
เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงเข็มกระทบพื้นทำให้มันดังเหลือเกิน
“...ออกไปเถอะ
ฉันไม่โทษเธอหรอก”
กริ๊ก
เป็นครั้งแรกที่คิ้วของเยี่ยซิวขมวดมุ่น
นี่ไม่ใช่เสียงเปิดประตู แต่เป็นเสียงลั่นกลอนล็อคประตู!
ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไรต่อ เยี่ยซิวรู้สึกเหมือนมีลมจำนวนหนึ่งปะทะกับใบหน้าและลำตัว
ราวกับโลกทั้งโลกหมุนคว้าง
โครงร่างผอมบางนั้นกระแทกลงกับพื้น
เจ็บ...
จุกไปทั้งร่าง เยี่ยซิวเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด
ก่อนที่จะได้ประท้วงร่างเขาก็ถูกเหวี่ยงลอยคว้างอีกครั้ง
คราวนี้ลงบนเตียงของเขาเองที่นอนทุกวัน
ความเจ็บปวดปลาบแล่นไปทั้งแผ่นหลัง มือทั้งสองข้างกำลังถูกบีบแน่น
แน่นขึ้นเรื่อยๆ..
จนแทบจะเจ็บลึกถึงกระดูก..
“คุณมันไม่เข้าใจอะไรเลย!!!!”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
มือคู่นั้นขยุ้มเสื้อของเยี่ยซิวจนรัดแน่น
ใบหน้าบนโครงร่างผอมบางนั้นเบ้อย่างเจ็บปวด
ปอยผมสีดำสนิทกระจัดกระจายบนผ้าปูเตียงสีอ่อนเรียงเส้น
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องกลับมากลับไม่มีแวววูบไหว
“เกอรู้ตัวและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำดี...”
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงราวกับผู้ใหญ่สอนเด็กน้อย
ดวงตางดงามที่แสนจะโทรมนั้นไม่หวั่นไหว “เธอนั่นแหละ...”
ชั่วเวลาที่สบตากัน
“เธอล่ะ....รู้ตัวรึเปล่าซุนเสียง...ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่?”
อยากทำอะไรกันแน่
...
“คุณมันจุดด่างพล้อยที่ทำให้อี๋เยี่ยจือชิวต้องตกต่ำ!
ให้ผมดูแลเทพสงครามต่อเถอะ เค้าจะกลับสู่ความรุ่งโรจน์ถ้าอยู่กับผม”
ตกลงมาสิ
ตกลงมา
ลงจากบัลลังก์แล้วลงมา..
ทำไม...ถึงไม่รู้สึกว่าคุณตกลงมาเลยล่ะ
ทำไมมีแต่ผมที่ต้องมองขึ้นไป
ทำไมคุณไม่มองที่ผม ผมกำลังจะเหยียบย่ำคุณนะ
มองมาที่ผมสิ!
รอต่อ part 2 นะคะ ตอนแรกว่าจะเขียนพาร์ทเดียวจบ
แต่ยาว..
ยาวเกิ๊นนน ฮรือออ
*************
ช่วงดาวิกาชวนคุยท้ายตอน:
fic เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอ่านตอนแรกของเรื่องนี้ค่ะ ดังนั้นจะเป็นเรื่องที่เกิดก่อนตอนแรก และจะเชื่อมกับตอนแรกของหนังสือใน part 2 ค่ะ คิดว่าจะแต่งแค่ 2 พาร์ทก็จบแล้วค่ะ
ความจริงฟิคนี้มาจากความดำมืด(?)และความกาวต่อซุนเยี่ยในฉากแรกค่ะ ตั้งใจจะแต่งไว้
เพราะจะลองแต่งฉากเรท..
เพราะจะลองแต่งฉากเรท..
นั่นแหละค่ะ แต่เขียนมา 6 หน้า A4 แล้วยังไม่เข้าฉากนั้นเลยค่ะ OTL
น่าจะเป็นตอนหน้านะคะ รอต่อ part 2 ซึ่งยังพิมต่อไม่ได้เนื่องจากผู้เฒ่าเต็มบ้านเลยค่ะ
กลัว...
เนื่องจากยังอ่านหนังสือไม่จบ และอ่าน eng จาก webnovel เป็นหลัก
ภาษาอาจะะไม่ค่อยเหมือนในเล่มไทยนะคะ ต้องขออภัยที่นี้ด้วย
ภาษาอาจะะไม่ค่อยเหมือนในเล่มไทยนะคะ ต้องขออภัยที่นี้ด้วย




ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น